น้ำหอม Le Labo สุดยอดน้ำหอม Niche ที่คุณควรมีไว้ครอบครอง – ถ้าหากคุณลองไปเดินตามห้าง เคาเตอร์เครื่องสำอางค์ หรือดิวตี้ฟรี คุณก็จะสามารถเห็นน้ำหอมเเบรนด์ต่างๆ วางขายอยู่เต็มชั้นไปหมด เเละจุดที่น่าสังเกตคือน้ำหอมเหล่านั้น ล้วนเป็นเเบรนด์ที่เรารู้จักกันอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Dior Prada DKNY Burberry ซึ่งน้ำหอมเหล่านี้ถูกเรียกว่า Designer brand perfume เเต่ในวันนี้ เราจะพูดถึงน้ำหอมที่มีความพิเศษกว่านั้น นั่นคือน้ำหอมประเภท Niche perfume ซึ่งเเตกต่างจากน้ำหอมประเภท Designer brand อย่างสิ้นเชิง ทั้งวิธีการผลิตเเละการจำหน่าย

Niche perfume คืออะไร?

หลายคนคงจะมีคำถามในใจว่าน้ำหอมมีการเเบ่งชั้นกันด้วยเหรอ? ซึ่งก็ขอตอบได้เลยว่า มีครับ เพราะน้ำหอมประเภท Niche perfume คือ น้ำหอมที่ผลิตจากเเบรนด์ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในการผลิตนํ้าหอมโดยเฉพาะ และแต่ละแบรนด์ของนํ้าหอม Niche จะมีความเอกลักษณ์และมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก บางแบรนด์อาจจะมีประวัติศาสตร์ในการทํานํ้าหอมยาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งเเตกต่างจากน้ำหอมประเภท Designer brand ตรงที่ Niche brand ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนํ้าหอมอยู่แล้ว จะเริ่มต้นจากการหาวัตุดิบที่นํามาผลิตนํ้าหอม ทําให้ได้น้ำหอมที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้นํ้าหอม Niche brand จะมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทําให้นํ้าหอมได้รับความนิยมไปทางลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากกว่า เเตกต่างจาก Designer brand ที่จะเน้นไปทาง Mass market ซึ่งสังเกตุได้จากช่องทางการวางจำหน่ายของ Designer brand perfume ที่มีมากกว่าหลายเท่าตัว

ถึงเเม้ว่านํ้าหอม Niche จะไม่ได้เหมาะสําหรับทุกคน แต่สําหรับลูกค้าที่หลงไหลในนํ้าหอมเป็นพิเศษเเล้ว Niche perfume เป็นหนึ่งใน must-have item ที่ต้องมีติดตู้น้ำหอมเลยทีเดียว อีกทั้งในเรื่องของราคาเมื่อเทียบกันระหว่าง designer brand และ Niche brand จะเห็นได้ชัดเจนว่า ราคาแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งในวันนี้ เราจะได้ทำความรู้จักกับน้ำหอม Niche brand ที่เปรียบเสมือนซุปเปอร์คาร์ของวงการน้ำหอมอย่างเเบรนด์ Le Labo – Grasse New York

ประวัติความเป็นมาของ Le Labo – Grasse New York

Le Labo – Grasse New York เป็นนํ้าหอมลูกครึ่งฝรั่งเศส – อเมริกา ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในเมือง เล็กๆที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในแคว้น Provence ที่มีชื่อว่า Grasse เมืองเก่า เล็กๆ ในฝรั่งเศสที่เคยเป็นเมืองหลวงของนํ้าหอม ที่มีการผลิตนํ้าหอมในเชิงอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังจากนั้น Le Labo ก็ได้มาเติบโตที่อเมริกา โดยคุณ Fabrice Penot และ Edouard Roschi ได้เปิด Le Labo สาขาแรกในปี 2006 ที่เมืองนิวยอร์ก บนถนน Elizabeth และ ในปี 2014 Le labo ถูกซื้อโดยบริษัท Estee lauder และ ได้มีการเปิดสาขาไปยังต่างประเทศทั่วโลก

เอกลักษณ์เฉพาะของ Le Labo คือการทำน้ำหอมทุกขวดเเบบ Hand made ที่ทำให้ Niche perfume ของที่นี่ มีความพิเศษกว่าที่ไหนๆ

ชื่อของ Le Labo มาจากภาษาฝรั่งเศส ถ้าแปลเป็นไทยนั้นก็คือ ห้องปฎิบัติการ ซึ่งตรงกับตกแต่งร้านของ Le Labo ที่ตั้งใจตกเเต่งให้คล้ายกับห้องแล็ปหรือห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และ นั่นแหละครับ มันคือ Concept ของทางแบรนด์เพราะนํ้าหอมที่ออกจากร้านทุกขวด จะต้องมีการปรุงสดขึ้นมาใหม่ด้วยมือเท่านั้น ทําให้ลูกค้าที่เข้าไปในร้าน ไม่เพียงแค่เข้าไปเลือกซื้อนํ้าหอมเหมือนที่อื่น แต่ยังได้เห็นถึงขั้นตอนการผลิตนํ้าหอมแต่ละขวด สัมผัสวัตถุดิบที่นํามาผลิตนํ้าหอม และยังได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่ไม่สามารถพบเห็นได้จากแบรนด์ทั่วไปที่วางขายในตลาด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์ และสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้เเก่ลูกค้า

Le Labo : Products

นอกเหนือจากนํ้าหอมเเล้ว Le Labo ยังมีสินค้าอื่นๆจากทางแบรนด์เช่น เทียนหอม, diffuser, นํ้ายาซักผ้า, body lotion, shower gel, shampoo, conditioner, lip balm ในบทความนี้เราจะขอพูดถึงแค่นํ้าหอมจากทางแบรนด์เท่านั้น

ถ้าเราลองสังเกตุชื่อนํ้าหอมแต่ละตัวของ Le labo นั้นเราจะเห็นว่ามีชื่อนําหน้า และ ตัวเลขต่อท้าย เช่น santal 33 , rose 31 , Another 13 , Oud 27 เพราะว่า การตั้งชื่อแต่ละกลิ่น Le labo จะตั้งชื่อตาม Note หลัก และ ตัวเลขแสดงให้เห็นถึงส่วนประกอบทั้งหมดของนํ้าหอม

สําหรับสินค้าประเภทนํ้าหอมของ Le Labo มีเยอะมาก เพียงแค่ไลน์ Classic collection มีนํ้าหอมมากถึง 18 กลิ่น อีกทั้งยังมีไลน์ City exclusive ที่มีนํ้าหอมออกมาถึง 13 กลิ่น ในบทความนี้เราจะขอพูดถึงนํ้าหอมที่เป็นกลิ่นที่โดดเด่นของทางแบรนด์นี้

Le labo : Santal 33

Notes: crackling notes of cardamom, iris, violet, and ambrox alongside the classic warm depths of leather and musks, this subtly spiced, the rich scent lingers beautifully on the skin. SANTAL 33 is… An open fire…The soft drift of smoke…Where sensuality rises after the light has gone.


มาเริ่มกับนํ้าหอมกลิ่นแรก ที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ Santal 33 เป็นกลิ่นที่เรียกได้ว่าขายดีที่สุดของทาง Le labo และเป็นน้ำหอมที่ทําให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น Santal 33 ออกมาจําหน่ายครั้งแรกในปี 2011 โดย เพอร์ฟูมเมอร์ Frank Voelkl นํ้าหอมกลิ่นเปลือกไม้ที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิง เเนวคิดของนํ้าหอมกลิ่นนี้คือ ความเป็นอเมริกัน และความเป็นอิสระ ทางแบรนด์ได้บอกว่านํ้าหอมตัวนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก โฆษณา บุหรี่ Marlboro ที่มีชายชาวอเมริกันและม้าอยู่หน้ากองไฟบนที่ราบใต้ท้องฟ้ายามเย็น มันเป็นสัญลักษณ์แห่งชาวอเมริกัน ที่บ่งบอกถึงความเป็นชายและเสรีภาพ ผู้ชายหลายๆคนต้องการที่จะเป็นเหมือนเขาและผู้หญิงหลายคนก็ต้องการครอบครองเขาเช่นกัน แรงบันดาลใจจาก Marlboro man จึงทําให้เกิดนํ้าหอมกลิ่นนี้ขึ้น ส่วนในเรื่องของกลิ่นนั้น จะออกไปทาง woody , leathery และ Spicy ด้วยความเป็น Eau de parfum ของนํ้าหอมตัวนี้ ทําให้กลิ่นสามารถติดทนเกิน 10 ชม. เเละสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยน้ำหอมกลิ่นนี้ จะเหมาะกับอากาศเมืองไทยในวันที่ลมเย็นๆ ไม่ร้อนมากหรือนั่งทํางานในห้องแอร์เย็นๆ

และด้วยกระเเสความนิยมของ Santal 33 บทความจาก Time magazine ได้กล่าวไว้ว่า “Santal 33 คือน้ำหอมที่คุณสามารถได้กลิ่นในทุกๆที่” ซึ่งก็ตรงตามคำกล่าวนั้น เพราะคุณจะได้กลิ่นนี้ในทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดินในนครนิวยอร์ก บาร์ในลอนดอน คาเฟ่ในปารีส หรือแม้กระทั้งชายหาดในลอสแองจลิส กลิ่นนี้มันได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามจากคนในวงการแฟชั่นและดาราชื่อดัง แม้แต่ justin bieber ก็เลือกที่จะใช้กลิ่นนี้ทําให้มีคนหลายๆคนใช้กลิ่นนี้ตามเหล่าคนดัง ถึงขนาดที่คุณ Griffin Funk แห่งนิตยสารเเฟชั่นชื่อดัง GQ ได้ออกมาทวิตว่า , “ณ ตอนนี้คงดูเเปลกถ้าใครไม่ใช้น้ำหอม Le Labo Santal 33”

Le labo : Rose 31

Top note: rose, caraway
Middle note: rose, vetiver, cedar
Base note: musk, guiac wood ,olibanum, labdanum ,oud

นํ้าหอมกุหลาบตัวท็อปสุดจากทาง Le labo Rose 31 เป็นนํ้าหอมตัวโปรดในใจของใครหลายๆคน ออกวางจําหน่ายครั้งแรกในปี 2006 โดย perfumer คือคุณ Daphne Bugey ถึงแม้ว่าจะเป็นนํ้าหอมกลิ่นกุหลาบแต่มีความพิเศษตรงที่กลิ่นสามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิงซึ่งตาม concept ของนํ้าหอมกลิ่นนี้คือ การเปลี่ยน ดอก Grasse rose ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง อ่อนหวาน ยั่วยวน ให้กลายเป็นนํ้าหอมที่มีความแข็งแกร่ง มีเสน่ห์ที่สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง โดยกลิ่นก็ตามชื่อของนํ้าหอมคือ กลิ่นหอมของของกุหลาบ ความเผ็ดของยี่หร่าและเครื่องเทศ ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะสําหรับทุกสถาณการณ์ไม่ว่าจะเป็นการทํางานระหว่างวัน ใส่ไปออกงานหรือเเม้เเต่ออกเดท แต่ก็ไม่ควรใส่ไปออกกําลังกายหรือใส่ทํากิจกรรมกลางแจ้งในอากาศร้อน

Le Labo : ANOTHER 13

มาถึงนํ้าหอมตัวสุดท้ายที่เราจะพูดถึงใน Classic collection นั้นก็คือ Another 13 ที่ออกวางจําหน่ายครั้งแรกในปี 2010 โดย Perfumer คือคุณ Nathalie Lorson นํ้าหอมตัวนี้มีความพิเศษจากนํ้าหอมตัวอื่นๆใน classic collection เพราะว่าเป็นนํ้าหอมที่ร่วมมือกันระหว่าง Le Labo และ AnOther Magazine ในปี 2010 ทาง AnOther ได้ขอให้ Le Labo ผลิตนํ้าหอมที่มีกลิ่นเฉพาะตัวของ AnOther จึงได้ออกมาเป็นน้ำหอม Another 13 ซึ่งเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีจําหน่ายในจำนวนสุดลิมิเต็ด เพียงแค่ 500 ขวดเท่านั้น และได้ถูกจําหน่ายจนหมดอย่างรวดเร็ว ในตอนเเรก ทาง AnOther จะไม่ผลิตน้ำหอมกลิ่นนี้ออกมาขายอีก แต่โชคดีที่ในปี 2017 ทาง Le Labo สามารถผลิต ANOTHER 13 และนํากลิ่นนี้ออกมาจําหน่ายได้อีกครั้ง ทําให้กลิ่นนี้ถูกนําลงไปอยู่ใน classic collection และทำให้น้ำหอมกลิ่นนี้ ตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายๆคน ส่วนของเรื่องกลิ่นนั้นจะออกไปทาง jasmine, moss, ambrette seeds และ ambroxan ทาง Le labo ได้ให้คํานิยามกลิ่นนี้คือ ‘addictive dirty potion’

Le Labo ‘The City Exclusives’

นอกเหนือจาก Classic collection ทาง Le labo ได้ปล่อย City exclusives collection ออกมาจําหน่าย เเนวคิดของคอลเล็คชันนี้ก็คือ เป็นกลิ่นที่ได้รับแรงบันดานใจมาจากเมืองนั้น ตัวอย่างเช่น Vanille 44 เป็นกลิ่นของกรุงปารีส แต่ความพิเศษของ collection นี้ก็คือ สามารถหาซื้อได้เพียงแค่เมืองที่ผลิต นํ้าหอมกลิ่นนั้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น GAIAC 10 – TOKYO ก็ซื้อได้แค่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่มีการขายทางออนไลน์ หมายความว่าถ้าคุณอยากได้กลิ่นไหนต้องบินไปซื้อในเเต่ละประเทศเอง ทําให้นํ้าหอมใน City exclusive นั้นมีความหายาก และลูกค้าหลายๆคนอยากลอง ทําให้ Le labo ทนไม่ไหวจนต้องออกมาจําหน่าย city exclusive ในทุกประเทศ แต่ก็ยังคงจำกัดการซื้อได้แค่หน้าร้านเท่านั้น ไม่มีการขายออนไลน์ โดยในคอลเล็คชั่นนี้ จะมีน้ำหอมด้วยกันทั้งหมด 8 กลิ่นจากเมืองยอดนิยมทั้ง 8 เเห่ง คือ Gaiac 10 (Tokyo), Vanille 44 (Paris), Tubereuse 40 (New York), Poivre 23 (London), Musc 25 (Los Angeles), Limette 37 (San Francisco), Baie Rose 26 (Chicago) เเละ Cuir 28 (Dubai)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก: Hashtaglegend.com

สามารถขอคำปรึกษาเเละทดลองผลิตภัณฑ์ของทาง VibesLAB ได้ที่: GOOGLE FORM

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Line@ – https://lin.ee/CSkFcxA
Facebook Page – https://www.facebook.com/vibeslaboratories/
Instagram – vibeslaboratories
Website – vibeslab.co

Contact Vibeslab